ตำนานแห่งพระพัลลาเฬศวร ที่ประดิษฐานอยู่ในเทวาลัยพัลลาเฬศวร ณ หมู่บ้านปาลี
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่าปาลี (पाली) มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า กัลยาณะ(कल्याण – Kalyana) กับภรรยาของเขาที่มีชื่อว่าอินทุมตี (इन्दुमती – Indumati) ได้มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า “พัลลาฬะ (बल्लाळ – Ballal)”
แล้วในวันหนึ่งพัลลาฬะซึ่งเป็นบุตรของทั้งสองนี้ ก็ได้นำเหล่าเพื่อน ๆ ของเขานั้นไปทำการบูชาโดยใช้ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งพวกเขานั้นสมมุติให้เป็นองค์มูรติของพระเคณศ
อีกทั้งพวกเขายังเพียรบูชาซึ่งมูรติของพระเคณศนี้จนลืมความหิวกระหายและจนไม่รู้วันรู้คืน (ไม่ยอมกลับบ้าน)
ในช่วงนั้นเองผู้ปกครองของบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลายในหมู่บ้านก็มุ่งไปยังเรือนของกัลยาณะ และทำการต่อว่าเกี่ยวกับการนำไปของพัลลาฬะเช่นนี้
เมื่อกัลป์ยาณะโดนต่อว่าเช่นนั้น เขาก็เกิดความโกรธและรีบออกจากเรือนไปค้นหาลูกชายของเขาและบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลาย
ครั้นเมื่อค้นเจอแล้ว กัลยาณะนี้ก็พบว่าพัลลาฬะกับเพื่อน ๆ นั้นกำลังใจจดในจอกับพระมูรติของพระคเณศอยู่ (ในนั้นกล่าวว่าพวกเด็ก ๆ ทั้งหลายกำลังได้รับฟังซึ่งคเณศปุราณะจากพระคเณศอยู่)
แล้วด้วยความโกรธนั้นกัลยาณะจึงได้รีบตรงเข้าไปทำลายซึ่งซุ้มบูชาพระคเณศขนาดเล็กนั้นลง อันทำให้บรรดาเพื่อน ๆ ของพัลลาฬะนั้นพากันหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป
ส่วนพัลลาฬะผู้ภักดีในพระคเณศยิ่งนั้นกลับยังคงนั่งบูชาพระคเณศอยู่ ณ ที่เดิม ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้กัลยาณะนั้นโกรธยิ่งขึ้นไปอีก แล้วทำการทุบตีซึ่งบุตรของเขาอย่างหนักจนเลือดเปื้อนไปทั้งเสื้อผ้า
จากนั้นกัลยาณะก็ได้นำเอาตัวของพัลลาฬะไปมัดไว้กับต้นไม้ แล้วก็มาทำลายข้าวของบูชาของพวกเด็ก ๆ และได้พยายามทำลายซึ่งก้อนหินใหญ่อันเป็นพระมูรติของพระคเณศนี้ด้วยการพยายามยกขึ้นและทุ่มลงกับพื้นให้แตก
เมื่อได้ทำดังนี้แล้วกัลายณะก็เตรียมจะเดินทางกลับไปยังเรือน โดยจะปล่อยให้พัลลาฬะนี้ถูกมัดไว้กับต้นไม้ต่อไป และก่อนที่เขาจะกลับเรือนนั้นเขายังได้กล่าวกับพัลลาฬะผู้เป็นบุตรของเขา ว่า
“ต่อไปนี้เจ้าจะได้เห็นว่า พระเจ้าของเจ้าองค์นี้จะยังคงปกป้องเจ้าอยู่ต่อไปหรือไม่?”
ในเวลานั้นพัลลาฬะก็คิดในใจว่าการกระทำของบิดาเขานี้เป็นสิ่งอันไม่ถูกไม่ควร ด้วยมันเป็นการละเมิดซึ่งพระคเณศเจ้าผู้เป็นพระโอรสแห่งพระเทวีปารวตีอย่างแรง
อันอาจจะทำให้บิดาของเขานั้นกลายเป็นคนหูหนวกและหลังค่อมไปได้
จากนั้นเขาแม้พัลลาฬะจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหิวกระหายยิ่ง แต่เขาก็ยังพยายามทำการสวดมนตร์เพื่อขอขมาในพระคเณศไปเรื่อย ๆ จนเขานั้นอ่อนเพลียและสลบไป
ในเวลานั้นเองพระคเณศเจ้าก็ได้เสด็จมาช่วยเขาด้วยการจำแลงมาในรูปของสาธุ (นักบวชจำพวกหนึ่ง) และเมื่อพระคเณศได้เสด็จมาถึงแล้วก็ทำให้ความอ่อนเพลียและความหิวกระหายของพัลลาฬะนั้นหายไปสิ้น บาดแผลที่เกิดขึ้นในร่างกายเขาก็ได้รับการรักษาให้จนเหมือนไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน และสาธุนี้ก็ทำการแก้มัดให้เขา
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพัลลาฬะจึงได้ตรงเข้าไปทำความเคารพซึ่งสาธุผู้นั้น และทำการสวดบูชาซึ่งพระคเณศอีก
นั่นจึงทำให้พระคเณศทรงพอพระหฤทัยยิ่ง พร้อมกลับรูปให้พัลลาฬะได้เห็นซึ่งร่างแท้ของพระองค์และจึงทรงให้พรแก่พัลลาฬะว่า
“โอ้…พัลลาฬะ…เอ๋ย ฉันใคร่จักขอให้เจ้าผู้มีศรัทธาอันมั่นคงนี้พึงมาพำนักอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นประจำจักได้ไหม? เพื่อที่เจ้านี้จะได้เป็นผู้ขจัดซึ่งทุกข์ภัยของผู้ที่กำลังแสวงหาที่พำนักหลบภัย (ผู้ตกทุกข์ได้ยาก) โดยฉันจะมาสถิตอยู่ที่นี่ตลอดไปร่วมกับเจ้า อีกทั้งฉันจะขอใช้ชื่อของเจ้านี้เพื่อให้ผู้คนได้มาทำการสักการะซึ่งมูรตินี้ในฐานะเป็นพัลลาเฬศวร (बल्लाळेश्वर – Ballaleshvara) จักได้ไหม?”
เมื่อเป็นเช่นนี้พัลลาฬะก็รีบทูลตอบตกลง และพระคเณศก็ทรงเข้าสวมกอดพัลลาฬะ แล้วทั้งคู่ก็หายเข้าไปในรอยร้าวของก้อนหินที่เป็นมูรตินั้น และก้อนหินที่เป็นมูรตินี้ก็ผสานกันจนหวนกลับมาเป็นรูปพระมูรติที่สมบูรณ์อีกครั้ง
นับแต่นั้นมาศิลาศักดิ์สิทธิ์นี้จึงถูกเรียกว่า “พัลลาเฬศวร” และกลายเป็น 1 ใน 8 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระคเณศไป ซึ่งเทวาลัยแห่งพระพัลลาเฬศวรนี้จะตั้งอยู่ในหมู่บ้านปาลี ห่างจากเมืองโรหา (रोहा – Roha) ไปประมาณ 28 กิโลเมตรในเขตรายคัฒ (Raigad) ตั้งอยู่ระหว่างป้อมสรสคัฑ (Sarasgad) กับแม่น้ำอัมพา (Amba)