อันที่จริงแล้วพระวิษณุทรงมีหลายรูปนับไม่ถ้วน หากแต่ในการณ์นี้เราจะขอกล่าวถึงรูปหลักของพระองค์สามรูป และที่ประทับของพระองค์ ซึ่งหลายคนมักจะสับสนระหว่าง ไวกุณฐะ และเกษียรสมุทร ในวันนี้จึงขอกล่าวถึงรูปแห่งพระปุรุษ และที่ประทับของพระองค์โดยคร่าว ดังต่อไปนี้ พระมหาวิษณุ , การโณทกศายี_วิษณุ พระมหาวิษณุ (महाविष्णु/Mahavishnu) ทรงประทับในไวกุณฐะ (वैकुण्ठ/Vaikuntha) อันเป็นทิพยสถาน อยู่เหนือโลกวัตถุ มีรูปเป็นราชมณเฑียร รายล้อมด้วยเหล่าบริวารหญิง-ชาย ซึ่งล้วนมีรูปลักษณ์เหมือน พระมหาวิษณุ แลพระมหาลักษมีเอง และในอีกฝากหนึ่งของโลกทิพย์นี้ พระองค์ทรงบรรทมเหนือ การณสมุทร หรือ ทะเลแห่งการสร้าง ด้วยเหตุนี้จึงมีนามว่า การโณทกศายี วิษณุ (कारणोदकशायी विष्णु/Karanodakasayi Vishnu) เป็นผู้ให้กำเนิดจักรวาลวัตถุทั้งหมดจากอณูแห่งพระวรกายของพระองค์ขณะกระทำซึ่งโยคนิทรา พระครรโภทกศายี_วิษณุ พระครรโภทกศายี วิษณุ (गर्भोदकशायी विष्णु/Garbhodakasayi Vishnu) ทรงเป็นรูปแห่งพระวิษณุ ที่เข้าไปในจักรวาลวัตถุทั้งปวง อันกำเนิดออกมาจากพระวรกายของพระการโณทกศายี วิษณุ ขณะกำลังหายพระทัยออกมา ครรโภทกศายี วิษณุ ทรงประทับเหนือ ครรโภท สาคร (गर्भोद सागर/Garbhoda Sagara) หรือ ทะเลแห่งการกำเนิด […]
Month: March 2022
พระลลิตามพิกา รูปพลังอำนาจแห่งพระวิษณุผู้ตอบสนองซึ่งความสุขในวัตถุ
ในอัธยายแรกของคัมภีร์ ลลิโตปาขยานะ (श्री ललितोपाख्यान/Sri Lalitopakhyana) อันเป็นส่วนหนึ่งจาก พรหมาณฑะ มหาปุราณะ (श्री ब्रह्माण्ड महापुराण/Sri Brahmanda Mahapurana) ได้กล่าวถึงความโทมนัส ของ พระมหรรษิ อคัสตยะ (महर्षि अगस्त्य/Maharshi Agastya) ถึงบาป และความชั่วร้ายในกลียุค พระฤๅษีจึงออกจาริกแสวงบุญไปตามปุณยสถานต่างๆ เพื่อยังความสุขสงบในจิตใจจากความทุกข์นั้น และเมื่อจาริกมาถึง เทวสถาน ศรี วรทราช สามี (श्री वरदराज स्वामी देवस्थानम्/Sri Varadaraja Swami Devasthanam) ในมหานคร กาญจี (काञ्ची महानगर/Kanchi Mahanagara) อันเป็นหนึ่งในเจ็ดมหานครศักดิ์สิทธิ์ พระหยครีวะ (श्री हयग्रीव/Sri Hayagriva) ผู้ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพระวิษณุเอง ได้ปรากฏองค์แก่ พระมหรรษิ อคัสตยะ จากนั้น พระมหรรษิ อคัสตยะ ได้ตรัสถามพระหยครีวะ ถึงหนทางหลุดพ้นจากอำนาจมายา […]
ความลับของลูกศรทั้งห้า
ปัญจพาณะ รหัสยะ มโนรูเปกฺษุโกทณฺฑา ปญฺจตนฺมาตฺรศายกา। ( มโนรูเปกษุโกทัณฑา ปัญจะตันมาตระ ศายะกา) ข้อความข้างต้นคือ บาทแรกของ ศรีลลิตา สหัสรนามะ โศลกที่3 ซึ่งมีความหมายดังนี้ พระนางผู้ทรงเกาทัณฑ์อ้อยอันเป็นรูปของจิตใจ พระนางผู้ทรงลูกกุทัณฑ์อันเป็นองค์ประกอบอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนทั้งห้า อันปัญจตันมาตระ พาณะ หรือ ลูกศรอันเป็นองค์ประกอบอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนทั้งห้า ของพระลลิตา ปรเมศวรี คัมภีร์ตันตระหลายเล่มก็ตีความแตกต่างกันไป บ้างกล่าวว่า ลูกศรทั้งห้าเป็นองค์แทนของจิตสัมผัสทั้งห้าได้แก่ สปรรศะ (สัมผัส) รูป รส คัณธะ(กลิ่น) และศัพทะ (เสียง) บ้างว่า ลูกเกาทัณฑ์ทั้งห้าเป็นองค์แทนของมหาปัญจภูต หรือ ธาตุทั้งห้า อันได้แก่ ปฤถวี (ดิน),ชล(น้ำ),วายุ(ลม),อัคนี(ไฟ) และอากาศ ส่วนคัมภีร์ชญานารนวะ ตันตระ กล่าวว่า ลูกกุทัณฑ์ทั้งห้านั้นเป็นองค์แทนของ กโษภณะ (การเร้าอารมณ์) ทราวณะ (ความเวทนา) อากรรษณะ (การจูงใจ) วาสยะ (การอ่อนน้อมถ่อมตน,การเชื่อฟัง) และ อุนมธะ (ความลุ่มหลงมัวเมา) […]
ศรี ลลิตา ธยานะ มนตระ ประถมโศลก
บททำการสมาธิระลึกพระศรีลลิตา ปฐมโศลก सिन्दूरारुण-विग्रहां त्रिनयनां माणिक्यमौलि स्फुरत् तारानायक-शेखरां स्मितमुखी मापीन-वक्षोरुहाम्। पाणिभ्यामलिपूर्ण-रत्न-चषकं रक्तोत्पलं बिभ्रतीं सौम्यां रत्न-घटस्थ रक्तचरणां ध्यायेत् परामम्बिकाम्॥ สินฺทูรารุณ-วิคฺรหำ ตฺรินยนำ มาณิกฺยเมาลิ สฺผูรตฺ ตารานายก-เศขรำ สฺมิตมุขี มาปีน-วกฺโษรุหามฺ। ปาณิภฺยามลิปูรฺณ-รตฺน-จษกํ รกฺโตตฺปลํ วิภฺรตีํ เสามฺยำ รตฺน-ฆฏสฺฐ รกฺตจรณำ ธฺยาเยตฺ ปรามมฺพิกามฺ॥ คำอ่าน สินทูรารุณะ วิคระฮาม ตรินะยะนาม มาณิกยะเมาลิ สะผูรัต ตารานายะกะ เศขะราม สะมิตะมุขี มาปีนะ วักโษรุหาม ปาณิภยามะลิปูรณะ (ปาณิภยาม อะลิปูรณะ) รัตนะ จะษะกำ รักโตตปะลำ วิภระตีม เสามฺยา รัตนะ ฆฏัสฐะ รักตะจะระณาม ธฺยาเยต […]
ศรี อาตตุกาล ภควตี
อาตตุกาลัมมะ (ആറ്റുകാലമ്മ/Aattukalamma) ทรงเป็นรูปปรากฏหนึ่งของพระภัทรกาลี (ഭദ്രകാളി/Bhadrakali) เพื่อปราบทรราช เนฏุญเจฬิยัน แห่งมธุราปุรี ตำนานกล่าวถึง พระภัทรกาลีทรงอวตารมาในรูปมนุษย์นาม กัณณกิ (കണ്ണകി/கண்ணகி/Kannagi) เป็นธิดาเศรษฐีในย่านปูมปุหาร ปากแม่น้ำกาเวริ ในแคว้นโจฬะ และได้วิวาห์กับ โกวลัน (കോവലൻ/கோவலன்/Kovalan) ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีเช่นกัน กล่าวว่า งานวิวาห์ของทั้งสองจัดอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่เลื่องลือของประชาชนในเมือง ในวันวิวาห์กษัตริย์แห่งแคว้นโจฬะยังได้ทรงประทาน วลัยบาทอันบรรจุอัญมณีไว้ให้แก่โกวลันสวมให้แก่กัณณกิในวันวิวาห์ด้วย ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขจนกระทั่งงานเทศกาลบูชาพระอินทร์ในราชธานีแห่งโจฬะมาถึง ซึ่งโกวลันได้ลากัณณกิไปร่วมงานในราชธานี ในราชธานีโกวลันได้พบกับ มาธวี หรือ มาธวิ (മാധവി)மாதவி/Madhavi) คณิกาอันเป็นที่เลื่องลือในความงาม โกวลันหลงใหลในความงามของนางคณิกามาธวี และอยู่กินฉันสามีภรรยา จนกระทั่งมีธิดาหนึ่งคนนาม มณิเมขละ หรือ มณิเมขไล ในสำเนียงตมิฬ (മണിമേഖല/மணிமேகலை)(Manimekhala or Manimekalai in Tamil) ต่อมาโกวลันได้สำนึก นึกขึ้นได้ว่าตนทำผิดกับกัณณกิผู้รอคอยสามีกลับบ้านอยู่ทุกวันคืน และ นางนี้แลเป็นผู้จ่ายค่ารื่นรมย์กับมาธวีแก่เขา โดยมารดาของมาธวีนั้นเป็นผู้ไปรีดไถกับนาง แต่ทว่า กัณณกิ หาใช่ภรรยาทั่วไปไม่ นางเป็นผู้จงรักภักดีต่อภัสดาเป็นอย่างยิ่ง นางยึดถือความสุขของภัสดาคือความสุขของตน ด้วยเหตุนี้นางจึงยอมทุกอย่างเพื่อความสุขของภัสดา โกวลันสำนึกได้จึงละทิ้งมาธวีกลับไปหากัณณกิ กัณณกิมิความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นภัสดากลับมา […]
ที่มาของพระนาม ขันธกุมาร ในประเทศไทย
อันว่านาม ขันธกุมาร ที่คนไทยนิยมคุ้นเคยกันนั้นมาจากคำว่า ขันธ์ หรือ ขันธะ ในภาษาปาลิ (ภาษาบาลี) ซึ่งคำนี้ในภาษาสันสกฤต คือ สกันธะ หมายถึง กอง,หมวดหมู่ ขันธกุมาร อาจหมายถึง กุมารผู้เป็นนายกอง นายหมู่? แต่แท้จริงแล้ว นามของพระองค์คือ สกันทะ อันหมายถึง ผู้ทำลาย ในภาษาสันสกฤต สฺกนฺท ยังหมายถึง การปะทุ,การทะลัก,การหกหล่น,การโจมตี,ผู้โจมตี ได้ด้วย ยังให้ความหมายเป็นนัยได้อีกว่า ผู้เกิดจากการปะทุของพระเดชานุภาพของพระศิวะ (ตามเทวปกรณ์ในปุราณะ พระองค์เกิดจากพีชะของพระศิวะ) และ ผู้โจมตี ยังมีนัยถึง สถานะเทวมหาเสนา ของพระองค์ สกันทะ อันหมายถึง ผู้ทำลายนั้นมีความหมายเช่น เดียวกับ หน้าที่ของพระรุทระผู้บิดรเทพ คือ ทำลายบาป ความเลวทรามชั่วช้าทั้งปวง ตามตำนานในปุราณะ พระองค์บังเกิดขึ้นเพื่อปราบตารกาสุระ ผู้ได้รับพรจากพระพรหมาว่า ให้ตนตายด้วยโอรสของพระศิวะ หลังจากการวิวาห์ของ พระศิวะ และพระปารวตี พระองค์ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน แต่การร่วมกันของพระองค์ทั้งสองยังทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน เหล่าเทวะจึงต่างมาเข้าเฝ้าพระองค์ทั้งสอง ซึ่งเป็นเพลาอันไม่สมควร […]
ศรี โคเปศวร พระศิวะในรูปของโคปี
ศรี โคเปศวร มณเฑียร (श्री गोपेश्वर मंदिर/Sri Gopeshwar Mandir) เป็นหนึ่งในปุณยสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ อันตั้งอยู่ในวฤนทาวัน (वृन्दावन/Vrindavan) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะ เป็นภูโลก วฤนทาวัน หรือ โคโลก ที่ได้มาตั้งอยู่ในโลกวัตถุนี้ และเป็นสถานที่พระกฤษณะ อวตารลงมาแสดงลีลาในวัยเด็กของพระองค์ พร้อมทั้ง ศรีมตี ราธา รานี อันเป็น หฺลาทินี ศักติ หรือ พลังอำนาจแห่งความสุขทิพย์ของพระองค์ ศรี โคเปศวรนั้นได้รับการบูชาในฐานะ ผู้ประทานเปรมะ ภักติ (การอุทิศตนเสียสละ ด้วยความรักจากใจจริง) เฉกเช่นที่เหล่าโคปีมี โดยเรื่องราวขององค์พระโคเปศวรนั้นมีปรากฏใน ครรคะ สังหิตา อันมีเนื้อความดังต่อไปนี้ ครั้งหนึ่ง เมื่อการร่ายรำมหาราสะ กำลังเริ่มขึ้น พระกฤษณะ (श्रीकृष्ण/Sri Krishna) ทรงเป่าขลุ่ยเพื่อเรียกหาเหล่าโคปิกา ที่มีความรัก และภักดีต่อพระองค์มารวมตัวกันในป่าสวนอันร่มรื่น ของวฤนทาวัน ภายใต้แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ฤดูใบไม้ร่วง เพื่อแสดงราสลีลา (การร่ายรำศักดิ์สิทธิ์) ร่วมกับพระองค์ เพื่อตอบสนองต่อการอุทิศตนทางจิตวิญญาณของพวกนาง […]
บทสดุดี พระโคเปศวร
ศรี โคเปศวร สตุติ वृन्दावनावनिपते जय सोम सोममौले सनक-सनन्दन-सनातन-नारदेय गोपीश्वर वृजविलासी युगाङ्घ्री पद्मे प्रेम प्रयच्छ निरुपाधि नमो नमस्ते วฤนฺทาวนาวนิปเต ชย โสม โสมเมาเล สนก-สนนฺทน-สนาตน-นารเทย โคปีศฺวร วฤชวิลาสี ยุคางฺฆฺรี ปทฺเม เปฺรม ปฺรยจฺฉ นิรุปาธิ นโม นมสฺเต คำอ่าน วฤนทาวะนาวะนิปะเต (วฤนทาวนะ-อวนิปเต) ชะยะ โสมะ โสมะ เมาเล สะนะกะ สะนันทะนะ สะนาตะนะ นาระเทยะ โคปีศวะระ วฤชะวิลาสี ยุคางฆรี ปัทเม เปรมะ ประยัจฉะ นิรุปาธิ นะโม นะมัสเต อ่านออกเสียงสำเนียงอินเดียโดยคร่าว วฺรินดาวะนาวะนิปะเต จะยะ โซมะ […]
บทสรรเสริญ พระโคเปศวร
ศรี โคเปศวร สตวะ श्रीमद्गोपीश्वर वन्दे शंकरं करुणामयम्। सर्वक्लेशहरणं देवं वृन्दयारणयं रतिप्रदे॥ ศฺรีมทฺโคปีศฺวร วนฺเท ศํกรํ กรุณามยมฺฯ สรฺวเกฺลศหรณํ เทวํ วฤนทยารณยํ รติปฺรเทฯ। คำอ่าน ศรีมัทโคปีศวะระ วันเท ศังกะรัม กะรุณามะยัม สัรวะ กเลศะ หะระณัม เทวัม วฤนทะยาระณะยัม ระติประเท อ่านออกเสียงสำเนียงอินเดียโดยคร่าว ชรีมัดโกปีชวะระ วันเด ชังกะรัม กะรุณามะยัม ซัรวะ กเลชะ ฮะระณัม เดวัม วฺรินดะยาระณะยัม ระติประเด คำแปล ข้าแด่พระโคปีศวร ข้าพเจ้าขอน้อมสรรเสริญซึ่ง พระองค์ผู้ศังกร (ผู้ยังความสิริมงคล แลความเจริญรุ่งเรือง) ผู้ทรงกอปรด้วยความกรุณา พระผู้ทรงขจัดซึ่งกิเลสทั้งปวง พระเทวะ พระผู้ทรงประทานซึ่งความรัก พระผู้ซึ่งเป็นที่พักพิงของทุกสรรพสิ่ง แปลโดย ศรี คุรุวายูร […]
เหตุใดพระแม่มีนากชี และพระอุมารวมถึงอวตารต่างๆของพระองค์ถึงมีวรกายสีเขียว
เราทั้งหลายอาจคุ้นชินกับภาพจิตรกรรมหรือแม้แต่ปฏิมากรรมของพระอุมาในภาคต่างๆกันไปในชั้นต่างๆของโคปุรัม(Gopuram)เทวสถานของไศวะนิกายและแม้แต่มณฑป(Mandapa)ของพระเทวีในรัฐตมิฬนาฏุ (Tamil Naadu) และรัฐเกรละ(Kerala)ในอินเดียตอนใต้ซึ่งมักมีพระวรกายสีเขียว แต่เหตุใดเล่าพระฉวีวรรณของพระองค์จึงมีสีเขียว วันนี้ผมจึงจะขอกล่าวอธิบายถึงข้อสงสัยนี้ของพระสาวกผู้ศรัทธาหลายท่าน อันพระฉวีวรรณอันเขียวดังมรกตและหยกพม่าที่เราเห็นกันตามภาพจิตรกรรมในยุคต่างๆตั้งแต่โบราณนานมาถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระปฏิมาบนโคปุรัมและบนมณฑปพร้อมทั้งพระปฏิมาบนเสาภายในมณฑป(Mandapa Pillar Sculptures)ยุคใหม่นั้น แท้จริงแล้วมาจากฉวีวรรณอันคล้ำ หรือผิวคล้ำนั้นเอง ซึ่งหากกล่าวตามศาสนวิทยานั้นมาจากอิทธิพลของชนชาติ ซึ่งชาวทราวิฑในอินเดียตอนใต้นั้นมักมีผิวคล้ำ รวมทั้งประเพณีวัฒนธรรมของหญิงสาวในอินเดียใต้(และเป็นวัฒนธรรมร่วมในเอเชียใต้และเอเชีบอาคเนย์อีกด้วย)ซึ่งมักชโลมผิวด้วยขมิ้น (Turmeric)อันมีกลิ่นหอมและเชื่อว่าเป็นมงคล ฉวีวรรณของสาวทั้งหลายซึ่งชโลมกายด้วยขมิ้นจึงมีสีออกมาในโทนเขียวดังมรกต(emerald)และหยกจักรพรรดิ(Imperial Jade)ดูงามตา ด้วยเหตุนี้พระเทวีและพระแม่อันเป็นที่ศรัทธาของเขาจึงมีฉวีวรรณเฉกเช่นเดียวกัน เพื่อแสดงความพูกพันธ์กันระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ พร้อมกับเทวปกรณัมว่าพระเทวีได้ทรงอวตารลงมาเป็นพระมีนากชี จักรพรรดินีแห่งปาณฑยะอันเป็นหนึ่งในสี่ราชวงศ์/อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชาวตมิฬและมลยาลิในยุคต้น และความเชื่อว่า เทวปฏิมาของพระศรีมีนากชีแกะสลักมาจากหินเขียว จึงทำให้ในจิตรกรรมและปฏิมากรรมต่างๆของพระเทวีมีฉวีวรรณเขียวดังมรกตและหินหยกจักรพรรดิ และสีวรกายนี้ยังตัดกับพระภูษาสีแดงอันเป็นสีพระภูษาที่โปรดปรานของพระเทวี (ในภายหลังภาพโปสเตอร์พระมีนากชีในยุคหลังมักทรงภูษาสีเขียวเข้ากับสีพระวรกาย) เป็นที่สวยงามงดงามตา และด้วยการที่ทรงมีฉวีวรรณอันคล้ำดังมรกต จึงทรงนามว่า ศยามา (Shyāmā),ศยามสุนทรี (Shyāmasundarī) อันหมายถึง พระนางผู้ทรงความงดงามด้วยพระฉวีวรรณอันคล้ำ และ มรกตวัลลี (Marakatavallī) ซึ่งหมายถึง พระนางผู้งดงามดังเถาวัลย์มรกต. เช่นเดียวกับ พระกาลีในอินเดียตอนเหนือซึ่งมักวาดสีพระวรกายในสีฟ้าในยุคกลางและภาพโปสเตอร์ในยุคหลัง ในขณะที่ในตมิฬนาฏุ และเกรละพระกาลีมักทรงวรกายสีเขียว และแดง (สีแดงก็มาจากกรณีเดียวกัน กับการสื่ออารมณ์สภาวะโกรธา) นอกจากนี้ พระศรีราม (Shree Rama) และ พระเทเวนทร์ (Devendra) ในตมิฬนาฏุ […]