เทวะตำนาน

พระสวามีอัยยัพปา

พระราชาศรีกาลา ทรงเป็นพระราชาที่เปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพ และความกล้าหาญ ทำให้พสกนิกรอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขและถือเป็นยุคทองแห่งราชอาณาจักร แต่อย่างไรก็ตามตัวของพระราชาก็ยังทรงกลุ้มพระทัยเนื่องจากไม่มีทายาทสืบราชบัลลังค์ ในทุกวันพระองค์จึงทรงไปขอพรจากพระศิวะเทพเพื่อให้ประทานบุตรให้ อีกด้านหนึ่งอสูรมหิงสาสุรัน บุตรแห่งรัมบัน เข้าพิธีทรมานตนเองอย่างหนัก จนกระทั่งร้อนไปถึงองค์พรหมเทพ จนกระทั่งมาปรากฎพระองค์เบื้องหน้าอสูร และให้พรแก่อสูรนั้น โดยพรข้อนั้น คือ ขอไม่ให้มนุษย์ใดในโลกสามารถทำร้ายและฆ่าตนได้ เมื่อได้รับพรแล้ว มหิงสาสุรัน ก็เริ่มนำกำลังทัพเข้ารุกราน และฆ่าคนบนโลกอย่างสยดสยอง ทำให้คนทั้งหลายทั้งโกรธทั้งกลัวต่างพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
 
 
เหล่าเทวดาเห็นถึงความร้ายกาจของมหิงสาสุรันจึงได้ทูลขอให้พระจันธิกาช่วยปรามพระจันธิกาพยายามพูดให้มหิง สาสุรันให้ลดความอำมหิตลงโดยทรงบอกให้นำพรที่ได้จากพระพรหมไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร แต่มหิงสาสุรันไม่ฟัง ยังคงฆ่าคนต่อไป จนในท้ายที่สุดพระจันธิกาจบชีวิตมหิงสาสุรันลง มหิงสี บุตรตรีแห่งคารัม ซึ่งเป็นพี่ชายของรัมบัน เห็นลูกพี่ลูกน้องตนถูกเหล่าเทวดาฆ่าตาย ด้วยความพยาบาทนางอสูรจึงประกอบพิธีทรมานตนเพื่อขอพรแก่พระพรหม จนท้ายที่สุดก็ได้รับพรจากพระพรหม องค์พรหมเทพเกรงว่าจะเหมือนครั้งก่อนจึงให้เงื่อนไขว่า เจ้าจะขอพรอันใดก็ได้ ยกเว้นเสียแต่ขอพรให้มีชีวิตอมตะ มหิงสีจึงขอพระพรหมว่า ขอให้ทั้งสามโลกไม่มีผู้ใดฆ่านางได้ยกเว้นเสียแต่บุตรอันเกิดจากองค์วิษณุและองค์ศิวะเทพเท่านั้น เมื่อได้พรนางมหิงสีนำกำลังเข้าบุกเทวโลกและมนุษย์โลกทันที
 
 
ด้วยการที่เหล่าเทวาทั้งหลายได้หลบหนีไปคนละทิศทางนั้น ได้บุกรุกไปยังอาศรมของฤาษีท่านหนึ่ง ฤาษีนั้นโกรธที่ถูกบุกรุกเลยสาปแช่ง เหล่าเทวดากลัวต่อคำสาบแช่งนั้น จึงได้ไปขอร้องให้องค์วิษณุเทพช่วย มหาวิษณุกล่าวว่าการที่จะทำให้คำสาปนั้นสูญสลายไปก็มีอยู่แต่ของสิ่งนั้นต้องไปนำมาจากเทวโลก แต่ตอนนี้มหิงสีได้ครอบครองอยู่ ด้วยความต้องการช่วยเหลือเหล่าเทวา พระองค์จึงเนรมิตกายเป็นสตรีเพศ นามว่า โมหิณี เข้าไปยังเมืองของมหิงสี แต่ตอนกลับองค์ศิวะเทพทรงทอดพระเนตรเห็นองค์วิษณุเทพที่อยู่ในรูปของนางโมหิณีเข้า จึงเกิดพอพระทัย และให้กำเนิดบุตรขึ้นมานามว่า ธรรมะศรัทธา เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชันษาขึ้น องค์ศิวะเทพพอพระทัยในการขอพรต่อพระองค์ของพระราชาราชศรีกาลา จึงสั่งให้ ธรรมะศรัทธาลงมาจุติยังมนุษย์โลก และการจุตินี้เอง คือ องค์พระสวามีอัยยัพปา โดยวันหนึ่งพระราชาราชศรีกาลา เสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์แถบลุ่มน้ำบัมปา เมื่อพระองค์ทรงเสร็จจากการล่าสัตว์จึงได้สั่งให้เหล่าเสนาสร้างเพิงที่พักในป่านั้น ขณะนั้นเองพระองค์ทรงได้ยินเสียงเด็กร้อง จึงเสด็จไปดูรอบๆ ลุ่มน้ำ และได้เห็นเด็กชายผู้งดงามและดูมีพลังกำลังส่งเสียงร้องพร้อมไปกับการเตะเท้า พระองค์ทรงครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดีกับเด็กทารกผู้นี้ ขณะพระองค์กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีมุนีท่านหนึ่งปรากฎกายขึ้นต่อหน้าพระองค์ และกล่าวว่า ” พระองค์ไม่ต้องกลัวไปหรอก ขอให้พระองค์นำเด็กผู้นี้กลับไปยังพระนครเถิด เลี้ยงดูให้ดี เด็กน้อยผู้นี้จะนำความเจริญ ความรุ่งเรื่องมาสู่พระนครของพระองค์ และให้พระนามแก่ทารกน้อยนี้ว่า มานิกันดัน เมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงดูเด็กน้อยนี้จนอายุครบสิบสองปี พระองค์จะทราบถึงความเป็นมาทั้งหมดของเด็กทารกผู้นี้เอง” กล่าวเสร็จมุนีก็หายตัวไป
 
พระราชาราชศรีกาลาดีพระทัยมาก พระองค์นำทารกน้อยกลับเข้าวังพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พระมเหสีฟัง เมื่อได้ฟังทรงดีพระทัยเป็นอย่างมากที่พรที่ตนขอแก่พระศิวะได้ผล เหล่าพสกนิกรล้วนดีใจที่บ้านเมืองจะมีกษัตริย์สืบต่อราชบัลลัง แต่อย่างไรก็ตาม ไดวัลย์ ผู้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองผู้หมายจะสืบราชบัลลังค์และจะทำพิธีราชาพิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจาพระราชศรีกาลากังวลถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เมื่อราชาราชศรีกาลารับมานิกันดันเข้าสู่นคร ทุกสิ่งทุกอย่างในพระนครจากที่ดีอยู่แล้วกลับดีขึ้นเรื่อยๆ เมืองเจริญขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้าน มานิกันดันได้รับการสอนเกี่ยวกับยุทธวิธีทำสงคราม และศาสตราต่างๆ จากคุรุทั้งหลาย จนความฉลาดหลังแหลมผิดมนุษย์ธรรมดา สร้างความประหลาดใจให้แก่เหล่าคุรุเป็นอย่างยิ่ง จนสุดท้ายก็สอนหมดสิ้นความรู้ทั้งปวง มานิกันดันจึงถามเหล่าคุรุทั้งหลายให้แนะนำคุรุที่จะสอนอีก เพื่อจะฝากตัวเป็นศิษย์ เหล่าคุรุจึงบกให้มานิกันดันไปหาฤาษีทักษิณา เมื่อได้ฟังดังนั้น มานิกันดันจึงไปหาท่านคุรุเพื่อขอพรและฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อได้เรียนรู้ศิลปะศาสตร์ด้านต่างๆ จากคุรุผู้นี้ เหมือนเช่นผู้ใฝ่รู้ทั่วไป แต่เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนคือ คุรุท่านนี้มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นใบพูดไม่ได้ ต้องทำให้บุตรชายของตนกลับมาพูดได้ปกติดังเดิมเสียก่อน ดังนั้น มานิกันดันเรียกบุตรแห่งคุรุออกมาเอามือวางบนศีรษะ จากนั้นบุตรแห่งคุรุกลับหายจากอาการเป็นใบ้ สามารถพูดได้เป็นปกติทันที แต่มานิกันดันกำชับคุรุว่า อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ขอให้เป็นความลับ
 
 
 
ขณะเดียวกันกับมเหสีของราชาราชศรีกาลาทรงให้กำเนิดทารกเพศชาย และให้พระนามว่า ราชาราชันย์ แต่พระราชาทรงต้องการให้มานิกันดันขึ้นครองราชสมบัติ โดยอ้างถึงความเหมาะสมว่าเป็นผู้พี่ รวมไปถึงพระอัจฉริยะภาพของมานิกันดันก็มีมากกว่า จึงสั่งให้ ไดวัลย์ จัดเตรียมทำพิธีราชาภิเษกให้กับมานิกันดันขึ้น ไดวัลย์ยิ่งจงเกลียดจงชังมานิกันดันมากขึ้น เมื่อเป็นบัลลังค์ที่จนเองฟูมฟักมากับมือจะตกเป็นของคนอื่น จึงหาวิธีทำลายมานิกันดันทุกวิถีทาง เช่น การผสมยาพิษลงไปในอาหาร แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้ทำให้มานิกันดันเป็นอะไรได้จึงวางแผนโดยการไปหลอกมเหสีว่า ทำไมเลยต้องให้ไอ้เด็กที่มาจากป่าไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาสืบสันตติวงศ์ จริงๆ แล้วบัลลังค์นี้น่าจะเป็นของบุตรที่เกิดจาพระนางเองมากกว่าถึงจะถูก พระนางทรงเห็นด้วยจึงร่วมมือกับ ไดวัลย์ คิดอุบายว่าจะทำทีเป็นปวดหัวปวดท้องต้องหาของวิเศษมารักษาจึงจะหายเมื่อทั้งสองคิดอุบายเสร็จ ก็เริ่มทำตามแผนที่คิดขึ้น มเหสีสั่งให้ไดวัลย์ ร้องตะโกนดังๆ ให้คนช่วยว่าพระนางปวดหัวและปวดท้องอย่างมาก พระราชาเมื่อทราบข่าวจึงสั่งให้ไดวัลย์ไปหาหมอที่ดีที่สุดมารักษา แต่หมอได้รับสินบนจากไดวัลย์และมเหสี จึงมาตรวจพระอาการและบอกไปว่า พระนางเป็นโรคร้าย สิ่งที่จะมารักษาอาการของพระนางได้มีอย่างเดียว คือ น้ำนมจากแม่เสือ พระราชาส่งคนเข้าป่าเพื่อนำน้ำนมเสือหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดนำมาได้ ราชาราชศรีกาลา เข้าใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะนำน้ำนมนั้นมาได้ แม้จะตั้งรางวัลไว้สูงเท่าใดก็ตาม
 
ขณะที่พระราชาทรงครุ่นคิดอยู่นั้น มานิกันดันจึงอาสาเข้าป่า และให้คำสัตย์สัญญาว่าจะนำน้ำนมเสือกลับมาให้ได้ แต่พระราชศรีกาลากล่าว่าใกล้ถึงวันราชาภิเษกแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ยอม แต่มานิกันดันก็ยืนกรานจะเข้าป่าเพื่อหายารักษาพระมารดา (ทั้งที่รู้อยู่ตลอดว่าไม่ได้เป็นอันใด) จนพระราชาทรงยอม พระราชาราชศรีกาลาได้ส่งกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งไปคอยช่วยอารักขามานิกันดัน แต่ในทางกลับกัน เมื่อแม่เสือเห็นทหารกลุ่มใหญ่ก็ตกใจกลัว พวกมันจึงพากันวิ่งหนีไปหมด ส่วนทางด้านพระราชาก็คอยส่งเสบียงมาอย่างไม่ขาดสาย และในระหว่างทางนั่นเองที่มานิกันดันได้พบกับมหิงสี และได้ทำการต่อสู้กัน มานิกันดันได้โอกาสจึงจับมหิงสีโยนลงพื้นและตกไปบริเวณลุ่มน้ำ จากนั้นก็ได้เข้าปะทะกันอีกครั้ง จนท้ายที่สุดมหิงสีก็สิ้นชีพลง พร้อมกับคำสาปที่นางโดนสาปไว้ ได้ปลดปล่อยนางไปพร้อมกับความตาย นางคืนรูปเป็นหญิงสาว เพราะรู้แล้วว่าคนที่สามารถสังหารตนได้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากบุตรแห่งวิษณุและศิวะ นางจึงขอพรจากมานิกันดันว่าขอให้นางเข้าถึงโมกษะในที่สุด
 
 
หลังจากทำการฆ่ามหิงสีแล้ว มานิกันดันก็เดินทางเข้าสู่ป่าเพื่อหาน้ำนมเสือต่อไป เมื่อพระศิวะเห็นดังนั้น จึงดำริว่ามานิกันดันเป็นคนกตัญญูกำลังจะทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นมารดา พระศิวะจึงบอกมานิกันดันให้กลับคืนพระราชวังไปหาพระราชาราชศรีกาลาพร้อมกับคุณเทวดา ที่นำด้วยท่านเดวันดรัน ซึ่งจะอยู่ในรูปของเสือให้ขี่หลังกลับวัง ส่วนเทวดาหญิงชายอื่นก็ให้แปลงเป็นเสือ คอยอารักขามานิกันดันเข้าสู่วัง เมื่อมานิกันกันกับฝูงเสือเข้าสู่ในตัวเมือง ผู้คนต่างก็ออกวิ่งแตกตื่นไปคนละทิศละทางด้วยความหวาดกลัว ไม่เว้นแม้กระทั่งสิงสาราสัตว์ต่างวิ่งกรูกันเข้าคอกอย่างไม่คิดชีวิต เวลาเดียวกันนั่นเองที่มุนีที่พระราชาทรงพบเมื่อครั้งเจอทารกมานิกันดันที่ในป่าก็ปรากฎตัวขึ้น และบอกถึงความเป็นมาของมานิกันดันให้พระราชาฟังเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทรงประหลาดใจมาก ซักพักก็ได้ยินเสียเหล่าข้าราชบริพารต่างวิ่งหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว แล้วพระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นมานิกันดันประทับอยู่บนหลังเสือ มานิกันดันกล่าวกับพระราชาว่าให้คนมานำน้ำนมเสือนี้ที่นำมาด้วยไปให้แก่พระราชินีเถิด พระราชาเมื่อทราบชาติกำเนิดของมานิกันดันจึงทูลเชิญให้อยู่ในวังเพื่อประกอบพิธีราชาภิเษกแต่มานิกันดันกลับเข้าป่าไปกับเดวันดรันต่อไป
 
 
 
ที่มา : ตำนานและภาพพระสวามีอัยยัพปาแปลจาก www.ayyappan-ldc.com
 
(เป็นเว็บไซด์รวมเรื่องราวของพระสวามีอัยยัพปาไว้อย่างครบถ้วนที่สุด)
 
*** ทางทีมงาน www.hindumeeting.com ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของที่มาไว้ ณ ที่นี้ครับ ***