เกร็ดความรู้ เรื่องทั่วไป

อาฏิมาสัม สำคัญยังไง

“อาฏิมาสัม-เดือนทมิฬตามปฏิทินสูรยคติ!!!”
สำคัญยังไง? ทำไมต้องมู?????

ชัย ศรีมันนารายณะ!… ในปีปัจจุบันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงครึ่งปีหลังแล้ว ในครึ่งเดือนแรกของครึ่งปีหลังก็ กาลของเดือนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และการอุทิศตน อันมีความสำคัญยิ่งต่อทุกนิกายและสายสัมประทายะ นั่นคือช่วง…”อาฏิมาสัม”… ก็ได้กลับมาเยือนอีกครา..

ในช่วงอาฏิมาสัมนี่ ผู้ศรัทธาทุกหมู่เหล่าทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยของเราก็ต่างเฝ้ารอที่จะได้ทำการบูชาและอุทิศตนต่อพระเป็นเจ้าผู้เป็นที่รักในรูปนามต่าง ๆ ที่ตนศรัทธากัน

แต่แล้วทำไม? เพราะอะไร? เดือน”อาฏิ”ถึงได้สำคัญนัก และเดือนนี้มีความพิเศษยังไง? แล้วมีอะไรต้องทราบบ้างเกี่ยวกับอาฏิมาสัม? ติดตามแต่ละหัวข้อได้ ในบทความนี้เลยยยย!…
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

…”อาฏิมาสัม – #Ādi_Māsam“…

ในบรรดาเดือนทั้งสิบสองเดือนตามปฏิทินแบบสูรยคติของชาวทมิฬนั้น เดือน”อาฏิ”นับเป็นเดือนลำดับที่ 4 และหากนับตามปฏิทินสากลแล้ว จะเข้าสู่ช่วงเดือนอาฏิมาสัมประมาณช่วงกลางเดือนกรกฏาคมและจะไปสิ้นสุดลงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม

แม้ว่าในคัมภีร์อาคมะและบทประพันธ์ศักดิ์สิทธิ์”ติรุมุไร”ของชาวทมิฬจะไม่ได้กล่าวถึงความโดดเด่น หรือ กำเนิด ความเป็นมาและความสำคัญของเดือนอาฏิไว้โดยตรง ไม่เหมือนเช่นเดือน”จิตติไร”ที่ถูกนับเป็นช่วงปีใหม่ และเดือน”ไท”ที่เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ยังไงก็ตามชนชาวทมิฬก็ยังเฉลิมฉลองและทำการอุทิศตนเพื่อการบูชาปรนนิบัติพระเป็นเจ้าในเดือนนี้อย่างเสมอมา…

เพราะเดือน อาฏิมาสัม นั้นมีความสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์และมงคลเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลหลัก ๆ 2 ประการ

ประการแรก เดือนอาฏิมาสัม-และช่วงเวลาที่เรียกว่า”ทักษิณายัน”เป็นช่วงที่ฤดูแล้งสิ้นสุดลงและเริ่มเข้าฤดูฝน-ฤดูมรสุม​ ในช่วงเวลานี้แหละ ที่พื้นที่ส่วนใหญ่​จะถูกปกคลุม​ไปด้วยมวลน้ำที่เข้าเอ่อท่วมเพราะห่าฝน สัตว์เลื้อยคลานน้อยใหญ่ ตั้งแต่ตัวหนอนกินใบไม้ไปจนถึงแมลงต่าง ๆ ทั้งที่ไม่มีพิษและทั้งที่มีพิษทั้งกัดได้ ต่อยได้ ก็จะออกมาหากินกันชุกชุม จนเรียกได้ว่าเป็นช่วง”ประลัย”หรือ ช่วงแห่งความพินาศ ความหายนะประจำปีบนโลกมนุษย์​ กิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมงคลทางโลก(เลากีกะ/โลกียะ)เช่น งานหมั้น งานวิวาห์ การขึ้นบ้านใหม่และการซื้อยานพาหนะคันใหม่ก็ถูกหยุดชะงัก​ไว้ก่อน

ทำให้ชนชาวทมิฬมีเวลาว่างจากการทำงานบ้าง พวกเขาจึงมีเวลาอยู่กับตนเอง อยู่กับครอบครัวและธรรมชาติ มีเวลาขัดเกลาจิตใจตนเองและปฏิบัติตามเส้นทางแห่งจิตวิญญานมากขึ้น พวกเขาจึงใช้เวลาว่างตรงนี้หันมาประพฤติปฏิบัติถือพรตบูชา-สวดมนตร์สดุดีถวายต่อเทพเจ้า/พระเป็นเจ้า เพื่อความเข้าถึงในธรรมและความเป็นธรรมชาติ และเพื่อหวังว่าอานิสงส์จากพรตจะช่วยให้เขามีความอยู่รอดปลอดภัยตลอดช่วงฤดูมรสุม และเพื่อให้เทพเจ้าแห่งสายฝน อย่าง พระนางมาริอัมมัน พึงพอใจในพรตและช่วยดลบันดาลฝนฟ้าให้ตกต้องตามสมควร ให้พืชผลออกรวงอกกดอกผลงดงาม ตามความปรารถนาอีกด้วย

และเหตุผลประการถัดมา… ก็ด้วยมีความเชื่อที่เชื่อมโยงไปยังเรื่องของ”ความแตกต่างระหว่างเวลาในโลกมนุษย์และเวลาในเทวโลก”… เพราะในหนึ่งปีของโลกมนุษย์เทียบเป็นเวลา 1 วันบนเทวโลกเท่านั้น!
ซึ่งเราจะสามารถสังเกตุการเข้าสู่ช่วงเวลา”กลางคืน”ของเทวโลกได้จาก”การเคลื่อนโคจรของพระอาทิตย์”

ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์​เริ่มโคจรปัดลงไปทางขั้วโลกใต้ เราจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า”ทักษิณายนะ” พระอาทิตย์จะใช้ระยะเวลาหกเดือนโคจรผ่านเรือนราศี ทั้ง 6 ราศีคือ ราศีกรกฏ ราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศีตุลย์ ราศีพิจิก และ ราศีธนู ตามลำดับ โดยจุดที่เรียกว่า”ทักษิณายนะ”นี้ เริ่มต้นในวันที่เรียกว่า”ทักษิณายนะ ปุณยกาล​ะ หรือ กฏก​ สันกรานติ” คือ วันที่พระอาทิตย์ยกข้ามจากราศีมิถุนาเข้าสู่ราศีกฏก​/กรกฏ ในประมาณวันที่ 16-17 เดือน​ กรกฏาคมของทุกปี​ ซึ่งในทางโหราศาสตร์​แบบสูรยคติแบบทมิฬ​จะเป็น​วันแรก​ของเดือน”อาฏิ”พอดิบพอดี

ซึ่งในช่วง”ทักษิณายัณ”นี้​นี่แหละ ที่ช่วงระยะเวลาในเวลากลางวันจะสั้นลง​ แต่ช่วงระยะเวลาในเวลากลางคืนจะยาวนานขึ้น​ ทำให้มีความเชื่อว่า​ ทักษิณายัณ​ เป็น​ช่วงเวลา​ที่​”เทวโลก”เริ่มเข้าสู่เวลาพลบค่ำ​ -​ ราตรีกาล…
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

เมื่อบนเทวโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลากลางคืนแล้ว… ช่วงเวลานั้นเป็นอันรู้กันว่า… “พระวิษณุเจ้า”พระผู้ทรงทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง​โลกและจักรวาล ก็จะเสด็จ​เข้าสู่นิทรารมณ์​
พระองค์​ทรงหลับใหลเหนือพญาอนันตนาคกลางทะเลน้ำนมเป็น​เวลาสี่เดือน(นับตามเวลาของโลกมนุษย​์)​ พระองค์เข้าบรรทมในดิถีที่รู้จัก​ในชื่อว่า​ วัน”เทวศยนี​ เอกาทศิ, ปรถมะ​ เอกาทศิ, มหา​ เอกาทศิ, อา​ษาฒี​ เอกาทศิ, ปัทม​ะ​ เอกาทศิ​ หรือ​ เทวโปธิ​ เอกาทศิ”… พระองค์ทรงเริ่มบรรทมตั้งแต่ฤกษ์​ ศุกลปักษ์​, เอกาทศิ​ ดิถี​, อาษาฒ​ มาศ
ดิถี​ ​ขึ้น​ 11​ ค่ำ​ เดือน​อา​ษา​ฒ และจะตื่นบบรรทม​อีกทีในวัน”ประโพธินี​ เอกาทศิ”(ดิถี​ ขึ้น​ 11 ค่ำ​ เดือนการติกะ)​
ซึ่งนับว่าเป็น​วันสำคัญ​ทางศาสนาที่มีความสำคัญ​ต่อศาสนิกชน​ชาวไวษวสัมประทายะและศาสนิกชนชาวฮินดูของสัมประทายะอื่น ๆ โดยทั่วไปเช่นกัน ซึ่งเราต่างเรียกช่วงเวลาสี่เดือนนี้ว่า…”จตุรมาสยะ/จตุรมาส”***…
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

อีกคำถามสำคัญที่ทุกคนอาจสงสัยก็คือ… แล้วทำไมเดือนอาฏิมาสัมถึงถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก ๆ ต่อการบูชาพระเทวีศักติ??? #อาฏิมาสัมมูพระเทวีศักติทำไม???

ก็เพราะในทางโหราศาสตร์ทมิฬได้ระบุไว้ว่าเดือนอาฏินี้เป็นเดือนแห่ง”ศักติ”เป็นเดือนแห่ง”พลังงาน”… โดยปกติแล้วจักรวาลจะมีพลังงานที่เป็นสภาวะคู่ที่เรียกว่า”ปุรุษะ-ประกฤติ/ศิวะ-ศักติ หมุนเวียนสลับกันไปให้เกิดการสร้างสรรค์ต่าง ๆ แต่ในช่วงอาฏิมาสัมมีพลังงานของ”ศักติ” พลังงานแห่งผู้เป็น”แม่”หมุนเวียนอยู่มากกว่า… “ศักติ”เป็นทั้งพลัง และเป็นทั้งความเมตตากรุณาแห่งองค์พระเป็นเจ้าเอง ฉะนั้นศาสนิกชนจึงได้อุทิศตนบูชาต่อ”พลังแห่งความเป็นมารดา”ในเดือนนี้

ในทางความเชื่อ… ช่วงเวลาของอาฏิมาสัม-ทักษิณ​ายนะนี้ พระวิษณุเจ้าผู้ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาโลกได้เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์​ โลกก็จะถูกละไว้ให้อยู่ในการคุ้มครอง​ของ*”พระเทวี-ศักติ”*และอวตารต่าง ๆ ขององค์​พระวิษณุเอง จึงเป็นที่มาให้ชนชาวทมิฬ”นิยมถือพรตและถวายการบูชาต่อพระเทวีศักติและเทวีในความเชื่อพื้นถิ่น เช่น พระแม่มาริอัมมัน พระแม่ทุรคา พระแม่ศรีมหาลักษมี พระแม่กาลี ต่าง ๆ เป็นต้น”เพื่อให้พระเทวีต่าง ๆ พึงพอพระทัย อำนวยอวยพรให้มีศิริมงคลในชีวิต มีความอุดมสมบูรณ์ในครัวเรือน สุขภาพแข็งแรง และ ที่สำคัญ คือ มอบความคุ้มครองให้พวกเขาอยู่เสมอ
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

 



นอกจากนี้ ในเดือนอาฏิมาสัมเองก็ยังมีฤกษ์-ดิถี-วันพิเศษที่มีความสำคัญซ่อนอยู่อีกหลายวัน เริ่มตั้งแต่…

#อาฏิ_ปิรัปปุ/อาฏิ_ปัณฑิไก”

อาฏิป์ปิรัปปุ/ปัณฑิไก แลว่า วันเริ่มต้น/วันแรกแห่งการเข้าสู่เดือนอาฏิมาสัม ในวันนี้ถือว่ามีความมงคลมากต่อการบูชาและการทำกิจกรรมเพื่อการกุศลต่าง ๆ ในวันนี้คนส่วนใหญ่ในครอบครัวจะมารวมตัวกันแล้วเริ่มทำอาหารประจำฤดูกาลบูชาต่อเทพเจ้า จากนั้นแจกจ่ายกันกินในครัวเรือนและวงศ์ญาติ อาหารชนิดนั้นก็คือ เมนู”อาฏิกูฬ”(โจ๊กข้าวฟ่าง) และ โกฬุกกัตไต(แป้งข้าวจ้าวผสมถั่วบดต้ม ใส่มะพร้าวขูดกับน้ำตาลทรายแดง)

#อาฏิป์ปูรัม-ติรุวาฏิป์ปูรัม”

เป็นวันที่”นักษัตร ปูรัม หรือ ปูรวะ ผาลคุนะ”ปรากฏขึ้นในเดือนนี้ ใน”ศรีไวษณวะ สัมประทายะ” ท่านนักบุญเปริยาฬวาร์ได้พบเข้ากับทารกหญิงนอนอยู่ใกล้ ๆ กระถางต้นกะเพรา ในวันเสาร์ ดิถีขึ้น 14 ค่ำ ปรากฏนักษัตร”ปูรัม”ในวันนั้น… ซึ่งต่อมา เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นมาเป็น 1 ใน 12 ปุณยกวีแห่งศรีไวษณวะสัมประทายะ ซึ่งท่ามกลางปุณยกวี 12 ท่าน มีเพียงแค่พระนางเท่านั้นที่เป็นสตรีเพศ ต่อมาพระนางเป็นที่รู้จักกันในนามว่า”ศรี อาณฑาล/โคทา นาจจิยาร์” และเชื่อกันอีกว่าท่านเป็นอวตารแห่ง”พระภูมิเทวี” จึงได้ยกให้วันที่ท่านเปริยาฬวาร์พบเข้ากับพระนางอาณฑาล เป็นวันชยันตี/ติรุนักษัตร(วันเทวสมภพ)ของพระนาง

ในทาง”ไศวะ-ศากตะ”เชื่อว่าในวันนี้เป็นวันที่พระนางเคารีเริ่มโตเป็นสาววัยเจริญพันธุ์ อีกทั้งยังถือเป็นฤกษ์วิวาห์ของพระนางปารวตีและพระศิวะ แถมยังมีเรื่องเล่าอีกว่าพระแม่ปารวตีได้ลงมาเยี่ยมเยือนสาวกในวันนี้ และได้จำแลงรูปเป็นหมอตำแยไปช่วยทำคลอดหญิงท้องแก่ อีกด้วย ทำให้ในวันนี้จะมีการทำพิธีกรรมที่เรียกว่า”วไลกาปปุ”คือการสวมกำไลรับขวัญให้แก่หญิงท้องแก่ ที่มีอายุครรภ์ราว 7 เดือน เพื่ออวยพรให้เธอมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์… ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ในแต่ละเทวสถานมีการจำลองเหตุการณ์-แต่งองค์ให้พระเทวีในเทวสถานอยู่ในอิริยาบถของหญิงท้องแก่ และจะนำกำไลข้อมือไปถวายต่อพระเทวีเพื่อขอพรให้ครอบครัวตนมีความอุดมสมบูรณ์ และอีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระเทวี ผู้เป็นมารดาแห่งจักรวาล ผู้เป็นนายหญิงแห่งความมงคลทั้งปวง…

#อาฏิอัมมาวไส-คืนเดือนดับในเดือนอาฏิ”

ในทางพิธีกรรมแล้ว ในทุก ๆ คืนเดือนดับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะกระทำ”พิธีปิตฤ-ตรรปณะ หรือ ศราทธะ”เพื่อ อุทิศผลปุณย์ไปยังพ่อแม่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ และในฤกษ์คืนเดือนดับแรกในช่วงทักษิณายัน-เดือนอาฏินี้จะถือว่าอานิสงส์จะส่งถึงผู้ล่วงลับได้ไวสุด ด้วยเหตุผลที่ว่า”ปิตฤโลก/ยมโลก”โลกแห่งผู้ล่วงลับนั้นอยู่ทางทิศใต้ และตัวพระอาทิตย์เอง ในทางโหราศาสตร์​พระเวทพระอาทิตย์​สื่อถึง”จิตวิญญาณ​/อาตมัน” การที่พระอาทิตย์​โคจร​ไปสู่​ทักษิณายัน(ปัดใต้-ขั้วใต้)​ทำให้ภพของมนุษย์เข้าใกล้กับภพโลกของคนตายมากขึ้น ทำให้อานิสงส์ส่งถึงผู้ล่วงลับได้ไวขึ้นกว่าเดิม

#อาฏิเศววาย วันอังคาในเดือนอาฏิ”

ว่ากันตามตำนานท้องถิ่นของชาวทมิฬ คราวหนึ่งพระศิวะทรงอยู่ในสมาธิ และได้มีเหงื่อจากพระเนตรที่สามหยดลงมาต้องพื้นดิน เหงื่อนั้นได้กลายมาเป็นพระกุมารองค์หนึ่ง มีผิวกายสีแดง ซึ่งต่อมาถูกชุบเลี้ยงโดยพระแม่ภูมิเทวี ต่อมากุมารองค์นั้นได้นามว่า”เศววาย” พระกุมารเศววายกระทำตบะถวายต่อพระศิวะจนพระองค์พอใจจึงอำนวยพรให้ได้เป็นดาวพระเคราะห์ดวงนึง (ในตรงนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับฝั่งวรรณกรรมสันสกฤตที่ระบุไว้ว่าพระมังคละ หรือ พระอังคาร เป็นบุตรแห่งพระแม่ภูมีเทวี/พระธรณี) เมื่อองค์พระเคราะห์เศววายถือเป็นบุตรแห่งพระศิวะ ก็ถือว่าพระองค์เป็นบุตรพระนางปารวตีเช่นกัน ฉะนั้นการถือพรตกระทำบูชาในวันอังคาร อันมีพระเศววายเป็นใหญ่อยู่ ก็จะทำให้พระเทวีผู้เป็นมารดาแห่งพระเศววายพึงพอใจได้รวดเร็วขึ้น

#อาฏิเวลลิ วันศุกร์ในเดือนอาฏิ”

อย่างที่ทราบกันว่าเดือนอาฏิ เป็นเดือนแห่งสตรี เป็นเดือนอันเปี่ยมไปด้วยพลังของผู้หญิงแล้ว นอกจากนี้”วันศุกร์”ก็ยังเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับสตรีอีกด้วย

วันศุกร์ หรือ เทพพระเคราะห์พระศุกร์”ในทางโหราศาสตร์นั้น นับเป็นตัวแทนของ,ความสุกสว่าง,ความสดใส,ความสวยความงาม,สตรีเพศ,ความมั่งคั่งและความหรูหราศิวิไลซ์เป็นต้น(หากมองในทางความเชื่อตะวันตกดาวศุกร์ก็เป็นตัวแทนของเทพสตรีวีนัส ผู้เป็ตัวแทนของความงามความมีเสน่ห์) และในชีวิตของคนเรา อำนาจอิทธิพลของดาวพระเคราะห์พระศุกร์นั้นก็ส่งผลต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ดังที่กล่าวไว้แล้วในความตอนต้นด้วย ฉะนั้นการบูชาซึ่งพระเทวีในรูป-นามต่าง ๆ ทั้งหลายนั้น เป็นที่ทราบกันอย่างดีว่า ก็เพื่อให้ได้รับอานิสงส์ในทางของการมีโชค การออกเรือน มีชีวิตคู่ที่ดี มีคู่ครองที่ดี ครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข ดังนี้เป็นต้น
การถวายการบูชา-การสวดมนตร์ก็ดี หรือการถือพรตต่อพระเทวีก็ดี ที่ได้กระทำในวันศุกร์อันเป็นวันที่มีอิทธิพลและพลังของสตรีเพศมาเกี่ยวเนื่อง ย่อมทำให้เกิดอานิสงส์หรือได้รับการตอบสนองจากพระเทวีในสิ่งที่ตนปรารถนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น ฉะนั้นแล้ว… การเข้าหาหรือบูชา สวดมนตร์ ถือพรตภวายต่อพระเทวีในรูป-นามทั้งหลายใด ๆ ก็ตามแต่ เช่น พระศรีมหาลักษมีเทวี พระศรีทุรคาเทวี และพระศรีสรัสตีเทวี ในฤกษ์วันศุกร์จึงถือเป็นมงคลและเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

#อาฏิป์เปรุกกุ

แน่นอนว่าเดือนอาฏิมาพร้อมกับฤดูฝน ฉะนั้นแม่น้ำลำคลองก็เอ่อนองไปด้วยมวลน้ำ น้ำเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อชีวิตและต่ออาชีพเกษตรกรรม ฉะนั้น”น้ำ”จึงได้รับการสรรเสริญว่าเป็น”แม่” เชื่อกันว่าในทุก ๆ วันที่ 18 ของเดือนอาฏิ กระแสน้ำแรกจะไหลหลากมา เกษตรกรและชาวนาก็จะต่างพากันมาถวายการเคารพสักการะต่อแม่น้ำ ลำคลอง แอ่งน้ำ หรือแม้แต่บ่อน้ำที่ใช้ทำกิน และในรัฐทมิฬนาฑู แม่น้ำสายสำคัญโดยเฉพาะ แม่น้ำกาเวรี จะได้รับการบูชาอย่างละเอียดปรานีตที่สุด

#อาฏิก์กฤตติไก

เป็นวันที่”กลุ่มดาวนักษัตร กฤติกา”ปรากฏขึ้นในเดือนนี้ และตามเทวปกรณัมแล้ว”พระมุรุกัน”ทรงมีเทวสมภพจากพีชะแห่งพระศิวะในเดือนนี้ พระองค์ทรงกำเนิดในสระที่เต็มไปด้วยต้นกก และทรงได้รับการชุบเลี้ยงจากสตรีหกนาง และเมื่อถึงเวลาที่พระศิวะและพระนางเคารีมารับพระโอรสคืนสู่ไกลาส พระองค์ทรงได้ประทานพรให้สตรีทั้งหกนางได้เป็น กลุ่มดาวนักษัตรที่มีนามว่า”กฤติกา” พระมุรุกันผู้ที่เปรียบเสมือนบุตรแห่งนางกฤติกาทั้งหก เลยได้ฉายาว่า”การติเกยะ อันแปลว่า บุตรแห่งนางกฤติกา”ไปด้วย ศาสนิกชนจึงจัดการบูชาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อระลึกถึงพระองค์ในฤกษ์นี้ด้วย

#อาฏิเปารณิมา/อาษาฒ เปารณิมา”

คืนเดือนเพ็ญในเดือนอาฏิ ก็เป็นอีกฤกษ์มงคล นอกจากนี้ยังมีความสำคัญเพราะเป็นวัน”#คุรุปุรณิมา“แล้ว ก็ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าวัน”วยาสะ เปารณิมา”อีกด้วย… ฤๅษีกฤษณะ ทไวปายนะ ได้กำเนิดในวันนี้ และภายหลังท่านได้เป็นที่รู้จักในฉายานามใหม่ว่า”เวทะ วยาสะ”อันมาจากการที่ท่านได้รวบรวมพระเวทขึ้นมาใหม่และจำแนกออกเป็นสี่เล่ม อีกทั้งท่านยังมีความสำคัญต่อวรรณกรรมในศาสนาเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นคนรจนามหากาพย์ภารตะ, 18 ปุราณะ – อุปปุราณะ, ภาควตะปุราณะ และ พรัหมสูตระ

นอกจากนี้ อาฏิ เปารณิมา ยังเป็นวันที่พระศิวะผู้เป็นอาทิโยคีถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับโยคะศาสตร์ให้แก่มหาฤๅษี 7 ตนเป็นครั้งแรก ณ สระกันติสโรวระ ในยุคต่อ ๆ มา เหล่าโยคี ฤๅษี สันยาสี ดาบสผู้สละเรือน จึงยึดถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งคุรุ อีกทั้งยังเริ่มปฏิบัติ”จตุรมาสยะ พรต”(เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเข้าพรรษาในศาสนาฮินดู)ในวันนี้อีกด้วย

เหล่าสันยาสีผู้สละเรือนแล้ว ผู้ที่มีวัตรปฏิบัติ​ด้วยการไม่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดิมมากกว่า 1 วัน ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยอยู่ในสถานที่เดิมได้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน(จำพรรษา)​ เพราะการมาของฤดูฝนทำให้การเดินทางเป็นเรื่องลำบาก อีกทั้งต้นอ่อนของพืชต่าง ๆ ก็เริ่มแตกหน่อขึ้นมา พวกสัตว์และหนอนแมลงก็ออกมาหากิน สันยาสีผู้มีวัตรปฏิบัติด้วยความเมตตาจึงหลีกเลี่ยงการเดินทางเพื่อมิให้ต้องไปเหยียบย่ำต้นพืชหรือพรากชีวิตแมลงเล็ก ๆ ให้ต้องเสียหายล้มตาย

ตลอดระยะเวลา 4 เดือนนี้ได้ถูกกำหนดให้มีวัตรปฏิบัติในเรื่องการบริโภคเคร่งครัดกว่าเดิมเพื่อเป็นการรักษาสุขภาพของตนเอง และจะใช้เวลาในช่วงนี้ไปกับการสวดภาวนาทบทวนพระเวท พรัหมสูตร ไวยากรณ์ และ ปรัชญา พระคัมภีร์ต่าง ๆ จากนั้นก็จะตีความและนำมาถ่ายทอดต่อศิษย์ต่อไป…

#สรุปโดยรวมแล้ว… เดือนอาฏิเป็นเดือนที่อุดมไปด้วยความมงคล เพราะตลอดทั้งเดือนจะมีดิถีที่แฝงไว้ด้วยกุศโลบายและกุศลกรรมให้”คฤหัสถ์ ผู้ครองเรือน”ได้อุทิศตนกระทำภาระหน้าที่อันสำคัญ อันพึงกระทำในชีวิต 5 ประการ อันเรียกว่า”ปัญจะ มหายัชญะ” อันมี 1.พรัหมะยัชญะ หรือ ฤษียัชญะ, 2.เทวะ ยัชญะ, 3.ปิตฤ ยัชญะ, 4.ภูตะ ยัชญะ และ 5.มานุษยะ ยัชญะ

ยาคะกรรมทั้ง 5 สามารสำเร็จสมบูรณ์ได้ก็ผ่านการกระทำหน้าที่ ดังนี้… ด้วยการทบทวน อ่านท่อง พระเวทและคัมภีร์ต่าง ๆ ก็ถือว่าได้สำเร็จใน พรัหมะ ยาคะ แล้ว

การถวายสักการะบูชา ถือพรตบริสุทธิ์ รวมไปถึงการโหมกูณฑ์บูชาต่อเทพไท้เทวา ก็ถือว่าได้สำเร็จใน เทวะ ยาคะ แล้ว

ด้วยการประกอบพิธีตรรปณะ หรือ ศราทธะ อุทิศแก่ บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ปิตฤ ยัชญะ ก็สำเร็จแล้ว

เมื่อเราได้เอื้อเฟื้อ แบ่งปันอาหาร-ผลไม้อะไรก็ตาม ให้แก่เหล่าสัตว์-สิ่งมีชีวิตใด ๆ ได้กิน เช่นการโยนก้อนข้าวให้นกกากิน การกระทำนั้นก็ถือว่าเราได้ทำภูตะ ยัชญะสำเร็จไปแล้ว

และท้ายที่สุด เมื่อเราได้แสดงน้ำใจช่วยเหลือ รับใช้ อุทิศตนต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง การกระทำ มานุษยะ ยัชญะ ของเราก็ถือว่าสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วด้วย

การฝึกฝนปฏิบัติแบบนี้ทุก ๆ ไม่จำกัดว่าจะต้องทำอยู่แค่ในเดือนอาฏิเท่านั้น แต่สามารถทำได้ทุกวัน และทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เพราะจะเป็นการฝึกฝนตัวเราเองให้มีความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุก ๆ สิ่งมีชีวิต ลดอัตตา ลดความเกลียดชัง ลดความอิจฉาริษยา ลดความเห็นแก่ตัวออกไป และจะทำให้ตัวเรารู้จักที่จะมีความสุขได้จากการเห็นผู้อื่นมีสุขเช่นกัน…

และทั้งหมดนี้ คือสิ่งน่ารู้เกี่ยวกับ”อาฏิ มาสัม”

ติดตามบทความเรื่องงงง “อาฏิมาสัมในวรรณกรรมทมิฬ”และ”ความสำคัญของอาฏิมาสัมกับไวษณวะสัมประทายะ”ได้ ในเร็ว ๆ นี้