การปรากฏองค์ของ พระลลิตามพิกา
เรื่องราวของพระลลิตามพิกาที่กำลังจะหยิบยกมาแสดงในที่นี้นั้นอ้างอิงเรื่องราวที่ปรากฏใน ลลิโตปาขยานะ (ललितोपाख्यान/Lalitopakhyana) ส่วนหนึ่งของพรหมาณฑะ มหาปุราณะ (ब्रह्माण्ड महापुराण/Brahmanda Mahapurana)
โดยกล่าวถึง หลังจากพระศิวะทรงเผาพลาญกามเทพเป็นผงธุลีแล้ว จิตรกรรมะ ผู้เป็นหนึ่งในคณะสาวกขององค์พระศิวะ ได้สรรสร้างเทพบุตรองค์หนึ่งจากกองผงธุลีของกามเทพ ซึ่งเทพบุตรตนนี้ได้รับคำชี้แนะให้บำเพ็ญพรตต่อพระศิวะ เทพบุตรตนนี้จึงบำเพ็ญตบะต่อพระศิวะอย่างอุกฤษ จนกระทั่งพระศิวะพึงพอพระทัยปรากฏองค์ขึ้นเพื่ออำนวยพรตามที่เทพบุตรตนนี้ต้องการ เทพบุตรนี้จึงได้กล่าวขอให้ ผู้ใดที่สู้รบกับตนผู้นั้นจะสูญเสียพลังอำนาจไปกึ่งหนึ่ง พร้อมทั้งมิมีอาวุธใดสามารถผูกมัดตนได้ และตนจะตายด้วยสตรีที่ไม่เกิดจากครรภ์ พระศิวะทรงให้พรตามที่เทพบุตรขอหากแต่ก็ตรัสทิ้งท้ายว่า พรนี้จะคงอยู่เพียงหกหมื่นปีเท่านั้น และทรงอันตรธานหายไป และด้วยความนึกคิดและวิสัยที่ไม่ดีทำให้เทพบุตรตนนี้เป็นอสูรไป พระพรหมาทรงทราบความถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทรงสรวลให้กับอสูรที่ไม่ทราบในพรของพระศิวะ จึงตรัสขึ้นว่า ภัณฑะ (भण्ड/Bhanda) อันหมายถึง ตัวตลก ทำให้อสูรตนนี้ได้นามว่า ภัณฑะ
ต่อมาผงธุลีของกามเทพยังได้ก่อเกิด วิศุกระ (विशुक्र/Vishukra) และ วิษังคะ (विषंग/Vishanga) ซึ่งต่อมาเป็นอนุชา และสมุนหลักของภัณฑาสุระ พร้อมกับอสูรอีกหลายพันตน พระศุกราจารย์ (शुक्राचार्य/Shukracharya) เมื่อทราบถึงการกำเนิดของเหล่ารากษสจึงรับ รากษสเหล่านั้นเป็นศิษย์ พร้อมทั้งได้อันเชิญ มายาทานพ (मायादानव/Mayadanava) ช่างของเหล่าอสูรมาสร้างนครให้เหล่ารากษส ให้นาม ศูนยกะ (शून्यक/Shoonyaka) เหล่ารากษสได้แต่งตั้งภัณฑะ เป็นกษัตริย์ของพวกตน
ภัณฑาสุระ เริ่มมองเห็นเหล่าเทพเป็นศัตรูกับพวกตน ภัณฑาสุระเชื่อว่า เหล่าทวยเทพ และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ด้วยความรักไคร่ต่อกัน หากกามเทพยังดำรงอยู่สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้น ภัณฑะยังทราบอีกว่า เหล่าทวยเทพปรารถนาจะชุบชีวิตกามเทพอีกครั้ง จึงหาวิธีทำลายเหล่าทวยเทพ และสรรพชีวิตทั้งหมดไปเสียก่อน โดยภัณฑะได้ออกคำสั่งให้เหล่าอสูรอยู่ในรูปของอากาศและแฝงเข้าไปในร่างของเหล่าเทพดาและสรรพชีวิตทั้งหลายในไตรภพ ทำให้ของเหลวในร่างกายนั้นแห้งเหือดไป รวมถึงเข้าไปควบคุมจิตใจอันดีงาม รักใคร่ปรองดอง และปัญญาให้แห้งเหือดไปด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นได้ก่อภัยพิบัติขึ้น เหล่าเทพยดาหม่นมองลง และสรรพชีวิตทั้งหลาย รวมถึงพืช และนาคในบาดาล ต่างไร้สมรรถภาพในการดำรงเผ่าพันธุ์ ไม่มีความร่าเริง ต่างมีแต่ความทุกข์ และความเกลียดชังต่อกัน เหล่าทวยเทพดา พร้อมทั้งฤๅษีมุนีนักสิทธิทั้งหลาย และพระพรหมา ต่างเริ่มตื่นตระหนกในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงต่างพากันไปเข้าเฝ้าพระศรีหริผู้ที่กำลังกระทำซึ่งโยคะนิทรา เมื่อพระมหาวิษณุทรงถูกปลุกขึ้นจากโยคนิทรา ทรงแลมองเหล่าปุณยาตมะ ซึ่งต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความหม่นหมอง ไร้ราศี พระวิษณุจึงตรัสขึ้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลจากการกระทำอันชั่วช้าของภัณฑะและพวกพ้อง และแม้แต่พระพรหมา พระรุทระ และพระองค์เองยังได้รับผลกระทบจากการกระทำชั่วช้านี้ หากแต่มีเพียง พระมหาศัมภู (महाशम्भू/Mahashambhu) และ พระปราศักติ (पराशक्ति/Parashakti) เท่านั้นที่มิได้รับผลกระทบนี้ พระวิษณุจึงตรัสกล่าวให้ทุกผู้สวดอ้อนวอน แด่พระมหาศัมภู และพระปราศักติ ให้ช่วยเหลือ
เหล่าทวยเทพดา ฤๅษีมุนีทั้งหลายต่างสวดภาวนาถึง พระมหาศัมภู และพระปราศักติ จนกระทั้งทั้งสองพระองค์ปรากฏรูปคุณะของพระองค์ขึ้น ในพรหมาณฑะปุราณะ อธิบายไว้ว่า พระมหาศัมภูทรงวรกายดังเมฆหมอก สามเนตร สองกรทรงตรีศูล และกปาละ และ ปราศักติทรงสองกร ทรงอักษรมาลา (ลูกประคำ) และพระคัมภีร์ ทรงสว่างไสวดังดวงจันทร์
พระมหาศัมภูทรงตรัสขึ้นว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือ กามะ ประลยะ หรือ ช่วงเวลาแห่งการดับสูญจากการไม่มีการดำรงเผ่าพันธุ์ มีผู้เดียวที่จะช่วยทุกผู้จากกามะ ประลยะ คือ พระลลิตา ปรเมศวรี ผู้ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปของปราศักติเท่านั้น พระมหาศัมภูทรงชีแนะให้เหล่าทวยเทพกระทำซึ่งมหายัชญะ (महायज्ञ/Mahayajna) โดยพระองค์จะทรงดำรงในรูปวายุทั้งเจ็ด และผู้กระทำพิธี มหาสมุทรทั้งเจ็ดซึ่งแห้งเหือดด้วยวายุทั้งเจ็ดจนเป็นแอ่งหลุมอันกว้างใหญ่จักเป็น โหมะกุณฑะ และมหาสมุทรที่เหลืออยู่ทั้งหกจะเปรียบดังฆี (เนยใส) ในพิธี สิ่งมีชีวิตทั้งห้ารูปแบบ คือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากจิตใจ,สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากครรภ์,สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากไข่,สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากของเสีย และสิ่งมีชีวิตซึ่งเกิดขึ้นจากการแตกหน่อ รวมถึง ปัญจภูตทั้งห้า และเหล่าทวยเทพผู้ร่วมประกอบพิธีด้วยความภักดีทุกองค์จะเป็นเครื่องบัดพลีในพิธี เพื่อให้พระลลิตา ปรเมศวรี ทรงพึงพอพระทัยปรากฏองค์ขึ้น เพื่อปราบภัณฑะ ชุบชีวิตกามเทพ และทุกผู้
เมื่อเหล่าทวยเทพต่างเต็มใจที่จะประกอบพิธีมหายัชญะนี้ พระมหาศัมภูในรูปวายุทั้งเจ็ด ภายใต้อำนาจของกริยาศักติ (พลังแห่งการกระทำ) ได้ทำให้มหาสมุทรเจ็ดแห่งแห้งเหือดลงเป็นแอ่งใหญ่ และก่อจิทาคนิ(เปลวเพลิงแห่งความรู้บริสุทธิ์)ขึ้นจากตาที่สามของอัคนี เปลวเพลิงโหมกระหน่ำจากบาดาลโลก ถึง สัตยโลก (พรหมโลก) พระมหาศัมภู และ ปราศักตเริ่มท่องมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ และใช้เมฆเป็นช้อนตักน้ำมหาสมุทรทั้งหกที่เหลือดังฆี ในตอนท้ายของพิธีสรรพชีวิตทั้งห้ารูปแบบ และเหล่าทวยเทพได้ทำการสละตนเป็นเครื่องบัดพลีในพิธี
บัดนั้น พระมารดาผู้ทรงศรีทรงปรากฏขึ้นบนศรีจักระราชรถ ซึ่งคือขุนเขาเมรุ จากจิทาคนิกุณฑะ ทรงมีรูปลักษณ์ดังดรุณีวัยสิบหกพรรษา ทรงฉวีวรรณแดงดังอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ และทรงสร้างรูปบรุษจากตนเองขึ้น คือ กาเมศวร ด้วยพลังอำนาจของพระนาง พระนางทรงสร้างอาวุธศักดิ์ คือ ปัญจพาณะ (ลูกศรทั้งห้า),เกาทัณฑ์,อังกุศะ (ปฏัก) และ บ่วงบาศขึ้นไว้ในพระกรทั้งสี่ จากพระเนตรซ้ายทรงสร้างพระพรหมา และพระศรีมหาลักษมี จากพระเนตรขวาทรงสร้างพระมหาวิษณุ และพระมหากาลี จากพระเนตรที่สามทรงสร้าง พระมหารุทระ และพระมหาสรัสวตีกลับมาอีกครา
นอกจากนี้ทรงสร้างนภากาศใหม่จากพระเกศา ทรงสร้างดวงตะวันจากพระเนตรซ้าย ทรงสร้างดวงเดือนจากพระเนตรขวา ทรงสร้างนักษัตรมณฑล และพระเคราะห์ต่างๆจากเครื่องอาลงกรณ์ซึ่งประดับบนพระนลาฏและพระเกศา ทรงนำพระเวทกลับคืนมาจากการหายพระทัย ทรงสร้างบทกวีและบทละครทั้งปวงด้วยพระสุระเสียง ทรงสร้างเวทานตะ(อุปนิษัท)จากพระหนุ(คาง) จากรอยทั้งสามบนพระศอทรงสร้างสรรซึ่งศาสตร์ต่างๆ
ทรงสร้างพระศยามลมา จากสติปัญญาของพระองค์เอง ทรงสร้างพระวาราฮีจากอัตตาในตนเอง จากอังกุศะทรงสร้างเทวี สมปัตกรี จากบ่วงบาศทรงสร้างซึ่งเทวี อัศวรูฒา จากกุณฑาลินีศักตของพระองค์เองทรงสร้าง พระคายตรี และทรงสร้างพระบาลามพิกาจากจิตใจของพระองค์เอง
ทรงแต่งตั้งพระศยามลมา เป็นมนตริณี และทรงแต่งตั้งพระวาราฮี เป็นผู้นำทัพ ทรงประทานพระธมรงค์แก่พระมนตริณี และ ทรงสร้างตะบองจากพระขนงค์ของพระองค์ประทานแก่พระวาราฮี (จึงทรงนาม ทัณฑนาถา) พร้อมทั้งทรงประทานราชรถเคยะจักระ แก่พระมนตริณี ศยามลา และประทานราชรถกิรีจักระแก่พระทัณฑนาถา วาราฮี นอกจากนี้ทรงสร้าง 64000000 โยคินี และ 64000000 ไภรวะ จากเสียงคำรามรวมกันเป็นกองทัพศักติเสนา.
เรียบเรียงนำเสนอโดย กิตติกร อินทรักษา