

Related Articles
ศรี มหามาริ อัมมัน ธยานะ มนตระ
(บททำการสมาธิระลึกถึงพระมหามาริ อัมมัน) अरुणमणिनिभाङ्गम्-अग्निकेशंकरण्डं डमरुककर-पाशं-खड्गहस्तं कपालं। निखिलसुरसुवन्द्यां नित्यकल्याणशीलामखिलभुवनमाता श्यामलामारिमीडे॥ อรุณมณินิภางฺคํ-อคฺนิเกศํกรณฺฑํ ฑมรุกกร-ปาศํ-ขฑฺคหสฺตํ กปาลมฺฯ। นิขิลสุรสุวนฺทฺยำ นิตฺยกลฺยาณศีลามขิลภุวนมาตา ศฺยามลมาริมีเฑฯ। คำอ่าน อรุณะมณินิภางคัม-อัคนิเกศัม-กะรัณฑัม ฑมรุกะกะระ-ปาศัม-ขัฑคะหัสตัม กะปาลัม นิขิละสุระวันทฺยาม นิตยะกัลยาณะศีลามะขิละ-ภุวะนะมาตา ศฺยามะละ-มาริมีเฑ อ่านออกเสียงสำเนียงอินเดีย อะรุณะมะณิ นิภางกัม อัคนิเกชัม กะรัณดัม ดะมะรุกะกะระ ปาชัม คัดคะฮัสตัม กะปาลัม นิคิละสุระวันดฺยามิ นิตยะกัลยาณะ ชีลามะคิละ บุห์วะนะมาตา ชฺยามะละ มาริมีเด คำแปล ขอน้อมสรรเสริญพระศยามลมาริ พระผู้ทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างดีโดยเหล่าทวยเทพยดา พระภุวนะมาตา (พระมารดาแห่งโลก) ผู้ทรงความดีงามอยู่เป็นนิตย์ดุจดั่งเสาค้ำจุนของจักรวาลทั้งปวง พระนางผู้ทรงมีพระวรกายแดงดุจดังอรุณมณี (ทับทิม) พระผู้ทรงมุ่นมวยพระเกศาอันโชติช่วงดุจดังเปลวเพลิง พระผู้ทรงกลองฑมรุ,บ่วงบาศ,พระขรรค์ และชามจากหัวกระโหลกไว้ในพระหัตถ์ ศรีมหามาริยัมพิกาไย นะโม นะมะห์ (ความนอบน้อมมีแก่ พระแม่มหามาริผู้ทรงศรี) แปลเรียบเรียงโดย มุรุเกศัน ศรี […]
ศรี รามานุชาจารย์ – Shri Ramanujacharya
ท่านรามานุชะ (रामानुज/Ramanuja) หรือ รามานุจัร (ராமானுஜர்/Ramanujar)ในสำเนียงเรียกของชาวตมิฬ เดิมนามว่า อิไลยาฬวาร (இளையாழ்வார்/Ilaiyazhvar) ท่านกำเนิดที่ ศรีเปรุมบุดูร (ஸ்ரீபெரும்புதூர்/Sriperumbudur) ในสมัยเยาว์วัยท่านได้ศึกษาปรัชญาเวทานตะกับอาจารย์ ยาทวประกาศ (यादव प्रकाश/யாதவ பிரகாசர்/Yadava Prakasha) ที่กาญจีปุรัม แต่ศึกษาอยู่ได้ไม่นานก็ทะเลาะกับอาจารย์เกี่ยวกับการตีความบางตอนในคำสอนอุปนิษัท จึงถูกขับไล่ออกจากสำนัก ท่านจึงไปอยู่กับลุงนาม มหาปูรณะ หรือ เปริยะ นัมบิ (பெரிய நம்பி /Periya Nambi) ซึ่งเป็นพี่ของมารดา ต่อมามหาปูรณะได้พาท่านไปหา ยามุนาจารย์ (यमुनाचार्य/யமுனாசார்யர்/Yamunacharya) หัวหน้าสำนักแห่งศรีรังคัม เพื่อไปอาศัยที่นั่น แม้ยามุนาจารย์เองก็ได้ทราบถึงกิตติศัพท์ความปราดเปรื่องของรามานุชะ จึงปรารถนาที่จะแต่งตั้งรามานุชะให้เป็นหัวหน้าสำนักแทนตนที่ชรามากแล้ว แต่ความปรารถนาของยามุนาจารย์ยังไม่ทันสัมฤทธิผลก็ถึงแก่กรรมเสียก่อนที่รามานุชะจะเดินทางไปถึง ตามที่กล่าวขานกันนั้น กล่าวว่า เมื่อรามานุชะเดินทางมาถึงที่เผาศพของยามุนาจารย์ ก็ได้เห็นนิ้ว 3 นิ้วในมือขวาของยามุนาจารย์กำไว้แน่น จึงสันนิษฐานว่า ยามุนาจารย์มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าอยู่ สามประการที่ยังทำมิสำเร็จ และหนึ่งในนั้นคือ การปรารถนาที่จะรจนาอรรถกถาพรหมสูตรที่ถูกต้องขึ้นมา ต่อมารามานุชะช่วยสนองความปรารถนาของยามุนาจารย์ได้สำเร็จ โดยได้รจนาอรรถกถาพรหมสูตรขึ้นมาฉบับหนึ่งให้นามว่า ศรีภาษยะ (श्रीभाष्य/Sri Bhashya) ตามที่กล่าวขานกันนั้น […]
ตำนานแห่งพระพัลลาเฬศวร ที่ประดิษฐานอยู่ในเทวาลัยพัลลาเฬศวร ณ หมู่บ้านปาลี
ตำนานแห่งพระพัลลาเฬศวร ที่ประดิษฐานอยู่ในเทวาลัยพัลลาเฬศวร ณ หมู่บ้านปาลี ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่าปาลี (पाली) มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า กัลยาณะ(कल्याण – Kalyana) กับภรรยาของเขาที่มีชื่อว่าอินทุมตี (इन्दुमती – Indumati) ได้มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า “พัลลาฬะ (बल्लाळ – Ballal)” แล้วในวันหนึ่งพัลลาฬะซึ่งเป็นบุตรของทั้งสองนี้ ก็ได้นำเหล่าเพื่อน ๆ ของเขานั้นไปทำการบูชาโดยใช้ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งพวกเขานั้นสมมุติให้เป็นองค์มูรติของพระเคณศ อีกทั้งพวกเขายังเพียรบูชาซึ่งมูรติของพระเคณศนี้จนลืมความหิวกระหายและจนไม่รู้วันรู้คืน (ไม่ยอมกลับบ้าน) ในช่วงนั้นเองผู้ปกครองของบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลายในหมู่บ้านก็มุ่งไปยังเรือนของกัลยาณะ และทำการต่อว่าเกี่ยวกับการนำไปของพัลลาฬะเช่นนี้ เมื่อกัลป์ยาณะโดนต่อว่าเช่นนั้น เขาก็เกิดความโกรธและรีบออกจากเรือนไปค้นหาลูกชายของเขาและบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลาย ครั้นเมื่อค้นเจอแล้ว กัลยาณะนี้ก็พบว่าพัลลาฬะกับเพื่อน ๆ นั้นกำลังใจจดในจอกับพระมูรติของพระคเณศอยู่ (ในนั้นกล่าวว่าพวกเด็ก ๆ ทั้งหลายกำลังได้รับฟังซึ่งคเณศปุราณะจากพระคเณศอยู่) แล้วด้วยความโกรธนั้นกัลยาณะจึงได้รีบตรงเข้าไปทำลายซึ่งซุ้มบูชาพระคเณศขนาดเล็กนั้นลง อันทำให้บรรดาเพื่อน ๆ ของพัลลาฬะนั้นพากันหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป ส่วนพัลลาฬะผู้ภักดีในพระคเณศยิ่งนั้นกลับยังคงนั่งบูชาพระคเณศอยู่ ณ ที่เดิม ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้กัลยาณะนั้นโกรธยิ่งขึ้นไปอีก แล้วทำการทุบตีซึ่งบุตรของเขาอย่างหนักจนเลือดเปื้อนไปทั้งเสื้อผ้า จากนั้นกัลยาณะก็ได้นำเอาตัวของพัลลาฬะไปมัดไว้กับต้นไม้ แล้วก็มาทำลายข้าวของบูชาของพวกเด็ก ๆ และได้พยายามทำลายซึ่งก้อนหินใหญ่อันเป็นพระมูรติของพระคเณศนี้ด้วยการพยายามยกขึ้นและทุ่มลงกับพื้นให้แตก เมื่อได้ทำดังนี้แล้วกัลายณะก็เตรียมจะเดินทางกลับไปยังเรือน […]